ไอโฟนชาร์จไม่เข้า? 10 วิธีแก้ปัญหา iPhone ง่ายๆ ที่คุณซ่อมเองได้

diy iphone repair

สมาร์ทโฟนคืออุปกรณ์สำคัญในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ iPhone ที่มีผู้ใช้จำนวนมาก แต่เมื่อ iPhone คู่ใจเกิดปัญหา หลายคนอาจร้อนใจรีบไปร้านซ่อมทันที แต่รู้หรือไม่ว่าอาการเสียหลายอย่างเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ ที่คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง

บทความนี้ได้รวบรวม 10 ปัญหายอดฮิตของ iPhone พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้นแบบละเอียด ที่ใครๆ ก็ทำตามได้ มาดูกันเลยครับ

1. ไอโฟนชาร์จไม่เข้า หรือชาร์จช้าผิดปกติ

หนึ่งในปัญหาคลาสสิกที่เจอได้บ่อยที่สุดคืออาการโทรศัพท์ชาร์จไม่เข้าเมื่อเสียบสายชาร์จแล้วเครื่องเงียบ สัญลักษณ์การชาร์จติดๆ ดับๆ ก่อนจะด่วนสรุปว่าแบตเสื่อม หรือ สายชาร์จ, อะแดปเตอร์ (Adapter) เสีย ลองทำตามวิธีนี้ดูก่อน

สาเหตุ: ส่วนใหญ่มักเกิดจากฝุ่นหรือขุยผ้าเข้าไปอุดตันในพอร์ต Lightning ทำให้หน้าสัมผัสระหว่างสายชาร์จ และพอร์ตเชื่อมต่อได้ไม่ดี

วิธีแก้ไข:

  1. อุปกรณ์ที่ต้องใช้: ไม้จิ้มฟัน (ควรเป็นแบบไม้เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร), แปรงสีฟันเก่าขนนุ่ม หรือแปรงเล็กๆ ที่สะอาดและแห้ง, ไฟฉาย (อาจใช้ไฟฉายจากมือถือเครื่องอื่น)
  2. ขั้นตอน:
    • ปิดเครื่อง iPhone เพื่อความปลอดภัย
    • ใช้ไฟฉายส่องดูในพอร์ตชาร์จ
    • ใช้ไม้จิ้มฟันค่อยๆ เขี่ยสิ่งสกปรกออกมาอย่างเบามือ (ห้ามใช้โลหะเด็ดขาด)
    • ใช้แปรงขนนุ่มปัดทำความสะอาดอีกครั้ง
    • เปิดเครื่องและลองเสียบสายชาร์จเพื่อทดสอบอีกครั้ง หากต้องชาร์จแบตนอกสถานที่ การมีพาวเวอร์แบงค์ที่ได้มาตรฐานก็เป็นสิ่งสำคัญ

2. ปุ่ม Home หรือปุ่ม Power กดไม่ค่อยติด

สำหรับ iPhone รุ่นเก่าที่มีปุ่ม Home หรือปุ่ม Power ที่อาจกดติดบ้างไม่ติดบ้าง ปัญหานี้อาจเกิดจากซอฟต์แวร์ค้างหรือมีสิ่งสกปรกสะสม

วิธีแก้ไข:

  • การแก้ไขด้วยซอฟต์แวร์ (Calibration):
    1. เปิดแอปพลิเคชันใดก็ได้ที่มาพร้อมกับเครื่อง เช่น แอปนาฬิกา หรือแอปสภาพอากาศ
    2. กดปุ่ม Power ค้างไว้จนกระทั่งหน้าจอปรากฏแถบ “เลื่อนเพื่อปิดเครื่อง” (Slide to power off)
    3. เมื่อเห็นแถบนี้แล้ว ให้ปล่อยปุ่ม Power แล้วมากดปุ่ม Home ค้างไว้ประมาณ 5-10 วินาที
    4. หน้าจอจะกลับไปยังหน้า Home Screen เอง และแอปพลิเคชันที่เปิดไว้จะถูกปิดลง เป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการ Calibrate ปุ่ม Home ซึ่งจะช่วยให้ปุ่มตอบสนองได้ดีขึ้น
  • การทำความสะอาด:
    1. ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบแอลกอฮอล์ Isopropyl (แอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล) บิดหมาดๆ
    2. ค่อยๆ กดและเช็ดวนรอบๆ ปุ่ม Home หรือปุ่ม Power ปล่อยให้แอลกอฮอล์ซึมเข้าไปทำความสะอาดคราบเหนียวหรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่รอบๆ ขอบปุ่ม
    3. กดปุ่มย้ำๆ หลายๆ ครั้งเพื่อช่วยให้สิ่งสกปรกหลุดออกมา
    4. ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อนเปิดใช้งานอีกครั้ง

3. ลำโพงเสียงแตก หรือเสียงเบาผิดปกติ

เมื่อเปิดลำโพงแล้วเสียงอู้อี้ เสียงแตก หรือเบาลง อย่าเพิ่งคิดว่าลำโพงพัง สาเหตุหลักมักมาจากฝุ่นที่อุดตันตะแกรงลำโพง ทำให้เสียงดร็อปลง หากต้องการฟังเสียงส่วนตัวการใช้หูฟังไร้สายก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี

สาเหตุ: เช่นเดียวกับพอร์ตชาร์จ ช่องลำโพงเล็กๆ เหล่านั้นคือแหล่งสะสมชั้นดีของฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ เมื่อมีอะไรไปอุดตัน ตะแกรงลำโพงก็จะสั่นได้ไม่เต็มที่ ทำให้คุณภาพเสียงดร็อปลง

วิธีแก้ไข:

  1. ใช้อุปกรณ์ใกล้ตัว: ใช้แปรงสีฟันเก่าที่แห้งและสะอาด หรือแปรงทาสีขนอ่อน
  2. ขั้นตอน: ค่อยๆ ปัดทำความสะอาดบริเวณตะแกรงลำโพงที่อยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง (ข้างพอร์ต Lightning) และลำโพงสนทนาที่อยู่บริเวณขอบบนของหน้าจอ เอียงเครื่องเล็กน้อยเพื่อให้ฝุ่นหลุดออกมาด้านนอก ไม่ตกลงไปในเครื่อง
  3. ห้ามทำ: อย่าใช้ลมแรงๆ เป่าอัดเข้าไปโดยตรง เพราะอาจทำให้ฝุ่นยิ่งลึกลงไปหรือสร้างความเสียหายต่อชิ้นส่วนภายในได้ และห้ามใช้ของเหลวใดๆ ฉีดเข้าไปเด็ดขาด

4. iPhone ทำงานช้า อืด หรือค้างบ่อย

เมื่อใช้ไปนานๆ iPhone อาจมีอาการหน่วงเพราะหน่วยความจำ (Ram คือ ส่วนสำคัญในการประมวลผล) และพื้นที่จัดเก็บถูกใช้งานไปเยอะ

วิธีแก้ไข:

  • เคลียร์ RAM: การบังคับปิดแอป (Force Quit) ไม่ได้เป็นการเคลียร์ RAM ที่แท้จริง วิธีที่ถูกต้องคือ
    • สำหรับ iPhone ที่มีปุ่ม Home: กดปุ่ม Power ค้างไว้จนขึ้นหน้าจอ “เลื่อนเพื่อปิดเครื่อง” จากนั้นกดปุ่ม Home ค้างไว้จนกลับมาหน้า Home Screen
    • สำหรับ iPhone ที่ไม่มีปุ่ม Home: เปิดใช้งาน AssistiveTouch (ไปที่ การตั้งค่า > การช่วยการเข้าถึง > สัมผัส > AssistiveTouch) จากนั้นไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > ปิดเครื่อง เมื่อเห็นหน้าจอ “เลื่อนเพื่อปิดเครื่อง” ให้แตะที่ปุ่ม AssistiveTouch แล้วแตะ “หน้าจอโฮม” ค้างไว้จนหน้าจอกะพริบและกลับมาที่หน้าจอหลัก
  • เคลียร์พื้นที่จัดเก็บ:
    • ลบแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งาน
    • ลบรูปภาพและวิดีโอที่ไม่จำเป็น หรือย้ายไปเก็บไว้ใน iCloud หรือคอมพิวเตอร์
    • ลบไฟล์ในโฟลเดอร์ “ที่ลบล่าสุด” ทั้งในแอปรูปภาพและแอปไฟล์
    • เคลียร์แคชของเบราว์เซอร์ Safari (การตั้งค่า > Safari > ล้างประวัติและข้อมูลเว็บไซต์)
  • รีสตาร์ทเครื่อง: การปิดแล้วเปิดเครื่องใหม่ หรือที่เรียกว่า “Soft Reset” เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดในการแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์เล็กๆ น้อยๆ ช่วยล้างหน่วยความจำชั่วคราวและทำให้ระบบเริ่มต้นใหม่

5. Wi-Fi หรือ Bluetooth เชื่อมต่อไม่ได้

หาก iPhone หาเครือข่ายไม่เจอ อาจเป็นเพราะซอฟต์แวร์มีปัญหา หากสัญญาณเน็ตช้าอาจต้องลอง เช็คความเร็วเน็ตดูก่อน ว่าช้าที่เน็ตเราเอง หรือที่ Website, Application นั้นๆ

วิธีแก้ไข:

  1. ปิดแล้วเปิดใหม่: ลองเข้าไปใน Control Center แล้วปิด Wi-Fi และ Bluetooth รอสักครู่แล้วเปิดใหม่
  2. Forget Network: หากเชื่อมต่อ Wi-Fi ไม่ได้ ให้ไปที่ การตั้งค่า > Wi-Fi แตะที่ไอคอน “i” ข้างชื่อเครือข่ายที่มีปัญหา แล้วเลือก “ลบเครือข่ายนี้ออกจากระบบ” (Forget This Network) จากนั้นลองเชื่อมต่อและใส่รหัสผ่านใหม่อีกครั้ง
  3. รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย: หากยังไม่ได้ผล ให้ลองวิธีสุดท้ายคือการรีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่ายทั้งหมด ไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > ถ่ายโอนหรือรีเซ็ต iPhone > รีเซ็ต > รีเซ็ตการตั้งค่าเครือข่าย คำเตือน: การทำเช่นนี้จะลบรหัสผ่าน Wi-Fi ทั้งหมดที่เคยบันทึกไว้ คุณจะต้องเชื่อมต่อใหม่ทั้งหมด

6. หน้าจอค้าง ไม่ตอบสนองต่อการสัมผัส

บางครั้งหน้าจอ iPhone อาจจะค้างสนิท ไม่ว่าคุณจะแตะหรือปัดอย่างไรก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิธีแก้ไขที่ได้ผลที่สุดคือการบังคับรีสตาร์ท (Force Restart)

วิธีแก้ไข:

  • สำหรับ iPhone 8 หรือใหม่กว่า (รวมถึง iPhone SE รุ่นที่ 2 และ 3):
    1. กดแล้วปล่อยปุ่มเพิ่มเสียงอย่างรวดเร็ว
    2. กดแล้วปล่อยปุ่มลดเสียงอย่างรวดเร็ว
    3. กดปุ่มด้านข้าง (ปุ่ม Power) ค้างไว้จนกระทั่งโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นมา แล้วจึงปล่อยมือ
  • สำหรับ iPhone 7 และ 7 Plus:
    1. กดปุ่มลดเสียงและปุ่มด้านข้าง (ปุ่ม Power) ค้างไว้พร้อมกัน
    2. กดค้างไว้จนกระทั่งโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นมา
  • สำหรับ iPhone 6s หรือเก่ากว่า (รวมถึง iPhone SE รุ่นที่ 1):
    1. กดปุ่ม Home และปุ่มด้านบน (หรือปุ่มด้านข้าง) ค้างไว้พร้อมกัน
    2. กดค้างไว้จนกระทั่งโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นมา

7. แอปเด้งออกเอง หรือทำงานผิดปกติ

เมื่อแอปที่เคยใช้งานได้ดีอยู่ๆ ก็เด้งออกเอง หรือทำงานผิดเพี้ยนไป อาจเกิดจากข้อผิดพลาดของตัวแอปเองหรือความไม่เข้ากันกับระบบปฏิบัติการ

วิธีแก้ไข:

  1. บังคับปิดแอป: ปัดหน้าจอจากด้านล่างขึ้นมา (สำหรับ iPhone ที่ไม่มีปุ่ม Home) หรือกดปุ่ม Home สองครั้ง (สำหรับรุ่นที่มีปุ่ม Home) เพื่อเปิดหน้าต่าง Multitasking แล้วปัดแอปที่มีปัญหาขึ้นเพื่อปิด จากนั้นลองเปิดแอปใหม่อีกครั้ง
  2. อัปเดตแอป: ไปที่ App Store แตะที่ไอคอนโปรไฟล์ของคุณ แล้วดูว่าแอปนั้นมีอัปเดตใหม่หรือไม่ การอัปเดตมักจะมาพร้อมกับการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
  3. ลบแล้วติดตั้งใหม่: หากอัปเดตแล้วยังไม่หาย ให้ลองลบแอปนั้นทิ้ง (แตะที่ไอคอนแอปค้างไว้แล้วเลือกลบแอป) จากนั้นเข้าไปดาวน์โหลดจาก App Store เพื่อติดตั้งใหม่อีกครั้ง

8. Face ID หรือ Touch ID ไม่ทำงาน

การปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้าหรือลายนิ้วมือไม่ผ่าน อาจเกิดจากเซ็นเซอร์สกปรกหรือมีข้อผิดพลาดบางอย่าง

วิธีแก้ไข:

  • สำหรับ Face ID:
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรบดบังกล้อง TrueDepth บริเวณรอยบากของหน้าจอ เช่น เคส หรือฟิล์มกันรอย
    • ทำความสะอาดบริเวณกล้องหน้าและเซ็นเซอร์ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์
    • ตรวจสอบว่าใบหน้าของคุณไม่มีอะไรบดบัง เช่น หน้ากากอนามัย หรือแว่นกันแดดบางประเภท
    • หากยังไม่ได้ผล ลองรีเซ็ต Face ID โดยไปที่ การตั้งค่า > Face ID และรหัส > รีเซ็ต Face ID แล้วตั้งค่าใหม่อีกครั้ง
  • สำหรับ Touch ID:
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่ม Home และนิ้วมือของคุณสะอาดและแห้ง
    • ทำความสะอาดปุ่ม Home ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์
    • ลองลบลายนิ้วมือเก่าออกแล้วเพิ่มลายนิ้วมือใหม่เข้าไป (การตั้งค่า > Touch ID และรหัส)

9. แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ

หลังจากอัปเดต iOS ใหม่ๆ หรือใช้งานไปสักพักใหญ่ คุณอาจรู้สึกว่าแบตเตอรี่ของ iPhone หมดเร็วจนน่าใจหาย ลองตรวจสอบตามนี้

วิธีแก้ไข:

  1. ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่: ไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่ > สุขภาพแบตเตอรี่และการชาร์จ ดูที่ “ความจุสูงสุด” หากตัวเลขต่ำกว่า 80% อาจถึงเวลาที่ต้องพิจารณาเปลี่ยนแบตไอโฟน แต่ถ้ายังสูงอยู่ ปัญหาอาจมาจากซอฟต์แวร์
  2. ตรวจสอบแอปที่ใช้พลังงานสูง: ในหน้า “แบตเตอรี่” เลื่อนลงมาดูรายชื่อแอปที่ใช้พลังงานมากที่สุดในช่วง 24 ชั่วโมงหรือ 10 วันที่ผ่านมา หากพบแอปที่ไม่ค่อยได้ใช้แต่กินแบตเตอรี่สูง อาจลองลบหรือตั้งค่าการทำงานเบื้องหลังของแอปนั้น
  3. เปิดโหมดประหยัดพลังงาน: เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ในแต่ละวัน
  4. ปรับการตั้งค่า:
    • ลดความสว่างหน้าจอ
    • ปิดการดึงข้อมูลเบื้องหลังของแอป (การตั้งค่า > ทั่วไป > ดึงข้อมูลใหม่ให้แอปอยู่เบื้องหลัง)
    • ตั้งค่าบริการหาตำแหน่งที่ตั้ง (Location Services) ให้แอปใช้เฉพาะ “ขณะใช้แอป”
    • ปิดฟังก์ชัน “ยกขึ้นเพื่อปลุก” (Raise to Wake)

10. กล้องไม่โฟกัส หรือหน้าจอกล้องเป็นสีดำ

เมื่อเปิดแอปกล้องแล้วเจอแต่หน้าจอสีดำ หรือภาพที่ได้เบลอ ไม่สามารถโฟกัสได้ อย่าเพิ่งตกใจ

วิธีแก้ไข:

  1. สลับกล้อง: ลองสลับไปใช้กล้องหน้าและกล้องหลัง หากกล้องใดกล้องหนึ่งทำงานได้ปกติ ปัญหาอาจอยู่ที่ฮาร์ดแวร์ของกล้องอีกตัว แต่ถ้าทั้งสองกล้องมีปัญหาเหมือนกัน น่าจะเป็นที่ซอฟต์แวร์
  2. ทำความสะอาดเลนส์: ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ที่สะอาดเช็ดเลนส์กล้องเบาๆ เพื่อขจัดคราบรอยนิ้วมือหรือฝุ่น
  3. ถอดเคส: เคสบางประเภท โดยเฉพาะที่มีแม่เหล็ก อาจรบกวนการทำงานของระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) และระบบออโต้โฟกัสของกล้อง ลองถอดเคสออกแล้วทดสอบอีกครั้ง
  4. บังคับปิดแอปกล้องและรีสตาร์ทเครื่อง: ทำตามวิธีบังคับปิดแอปในข้อ 7 และทำการรีสตาร์ทเครื่องตามปกติ เพื่อเคลียร์ข้อผิดพลาดชั่วคราวของซอฟต์แวร์

บทสรุป

อาการเสียเล็กๆ น้อยๆ ของ iPhone ที่กล่าวมานี้ ส่วนใหญ่ผู้ใช้สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายและเข้าใจอุปกรณ์มือถือ ของคุณมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากลองทำตามแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือเจอปัญหาหนักอย่างหน้าจอแตกหรือเครื่องตกน้ำ การนำเครื่องไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก็ยังเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด และหากคุณกำลังมองหาไอโฟนรุ่นไหนดี เพื่ออัปเกรดเครื่องใหม่ เราก็มีคำแนะนำให้เช่นกัน นึกถึงไอที นึกถึง A Lot Tech