ซิมการ์ดส่วนประกอบสำคัญของโทรศัพท์ที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ในกรณีที่คุณไม่มี WiFi การมีซิมการ์ดถือเป็นไอเท็มสำคัญที่ไม่สามารถขาดไปได้ และความสำคัญของซิมการ์ดไม่ได้อยู่แค่เพียงการใช้งานอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณไม่ใส่ซิมการ์ดในสมาร์ทโฟนคุณก็ไม่สามารถโทรเข้า-ออกได้ ทำให้ไม่สามารถสมาร์ทโฟนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีซิมการ์ดหลากประเภทซึ่งอาจจะสร้างความสับสนให้กับใครหลายคน
วันนี้ทีมงาน A Lot Tech จะพาทุกคนไปทำความรู้จักซิมการ์ดในแต่ละรูปแบบ ว่าแบบไหนเหมาะกับการใช้งานแบบใด พร้อมทั้งตอบคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับซิมการ์ด ถ้าพร้อมแล้วไปดูเลยครับ!
ซิมการ์ด (SIM Card)
ซิมการ์ดคืออะไร ? จริง ๆ แล้ว ซิมการ์ด หรือ Sim Card เป็นคำย่อที่มาจากคำว่า “Subcribe Identity Module” ที่แปลว่า อุปกรณ์ที่ช่วยระบุตัวตน ซึ่งถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1991 ที่ประเทศเยอรมนี ในสมัยแรกๆ ของซิมการ์ดหลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่ามีขนาดใหญ่เท่ากับบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสดเลยทีเดียว แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง อย่าง มินิซิมการ์ด ไมครซิม นาโนซิม รวมไปถึงแบบที่ไม่สามารถจับต้องได้ อย่าง eSIM
ซิมการ์ดมีหน้าที่ในการระบุหมายเลขโทรศัพท์เพื่อการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็น การโทรเข้า-โทรออก การส่งข้อความ การใช้งานอินเทอร์เน็ต การจัดเก็บข้อมูล การระบุโลเคชั่น และครอบคลุมไปถึงการใช้งานส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับแผงวงจรบนซิมการ์ดอีกด้วย
ซิมการ์ด ทำงานอย่างไร
หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมครับ ว่าเจ้าซิมโทรศัพท์เนี่ย มีหลักการทำงานยังไง ผมจะมาช่วยไขข้อสงสัยให้ทุกคนเองครับ โดยหลักการทำงานของซิมการ์ด ได้แก่
- การยืนยันตัวตน (Authentication): เมื่อคุณใส่ซิมการ์ดเข้าไปในโทรศัพท์ ซิมการ์ดจะทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ายของผู้ให้บริการและส่งข้อมูลประจำตัว (เช่น หมายเลข IMSI) ไปยังเครือข่าย เพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตในการใช้บริการ
- การจัดการการโทรและข้อความ: ซิมการ์ดจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้ (MSISDN) ซึ่งจะใช้ในการติดต่อผู้ใช้ในเครือข่ายโทรศัพท์ นอกจากนี้ยังเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบริการเสริมต่าง ๆ ที่ผู้ใช้เลือกใช้ เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต 3G, 4G หรือ 5G
- การเข้ารหัสข้อมูล: ซิมการ์ดยังทำหน้าที่ในการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่ายเพื่อให้การสื่อสารมีความปลอดภัย เมื่อโทรศัพท์ทำการส่งข้อมูลหรือข้อความ ซิมการ์ดจะช่วยแปลงข้อมูลให้เป็นรูปแบบที่ไม่สามารถถูกเข้าถึงโดยบุคคลภายนอกได้
- การเก็บข้อมูลผู้ใช้: ซิมการ์ดสามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้บางประการได้ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ (ในบางรุ่น) หรือข้อความที่เก็บไว้ (SMS) ขึ้นอยู่กับประเภทของซิมการ์ดและฟีเจอร์ของโทรศัพท์
- การสนับสนุนบริการเสริม: ซิมการ์ดยังสามารถใช้เพื่อเข้าถึงบริการเสริมต่าง ๆ ที่ผู้ใช้เลือกใช้งาน เช่น บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Data), การโอนเงินผ่านมือถือ, หรือบริการต่าง ๆ ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายนำเสนอ
ซิมการ์ดจะทำงานร่วมกับโทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสารผ่านระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการต่าง ๆ และเป็นส่วนสำคัญในการทำให้โทรศัพท์มือถือสามารถใช้งานได้ตามปกตินั้นเองครับ
ขนาดของซิมการ์ด

อย่างที่กล่าวไปในช่วงแรกว่าปัจจุบันมีซิมการ์ดหลายขนาด ซึ่งก็น่าจะสร้างความสงสัยและสับสนให้กับหลายคนกันใช่ไหมครับ ว่าแล้วแต่ละขนาดต่างกันยังไง ควรใช้แบบไหนดีกว่า ? เรามาลองดูความต่างของแต่ละขนาดกันเลยดีกว่า
1. Mini-SIM Card
- ขนาด: 25 มม. x 15 มม.
- เป็นขนาดซิมการ์ดที่ใช้ในโทรศัพท์รุ่นเก่าหรือโทรศัพท์รุ่นแรก ๆ ก่อนที่จะมีการพัฒนาซิมการ์ดขนาดเล็กลง ใช้สำหรับโทรศัพท์รุ่นเก่าหลายรุ่นในอดีต
2. Micro SIM Card
- ขนาด: 15 มม. x 12 มม.
- พัฒนาให้มีขนาดเล็กลงจาก Standard SIM เพื่อให้สามารถใช้งานในโทรศัพท์มือถือที่บางลงและมีขนาดเล็กลง เช่น สมาร์ทโฟนที่ออกมาหลังจากปี 2010 เป็นต้น
3. Nano-SIM Card
- ขนาด: 12.3 มม. x 8.8 มม.
- เป็นซิมการ์ดที่เล็กที่สุดในปัจจุบัน โดยถูกใช้ในสมาร์ทโฟนที่มีขนาดบางและเบามากขึ้น เช่น iPhone 5 เป็นต้น จึงช่วยให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบโทรศัพท์ให้มีขนาดบางลงได้
- H3 : 4. eSIM
- ขนาด: เป็นชิปที่ฝังอยู่ในตัวเครื่อง
- eSIM เป็นซิมการ์ดแบบดิจิตอลที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ไม่สามารถถอดออกมาได้ โดยสามารถใช้งานได้เหมือนกับซิมการ์ดทั่วไปแต่ไม่ต้องใส่ซิมการ์ดจริง ๆ ซึ่งมีการใช้งานในอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น สมาร์ทโฟนรุ่น สมาร์ทวอทช์ และอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ
- ** ทั้งนี้การใช้ซิมการ์ดแต่ละขนาดจะขึ้นอยู่กับรุ่นและอุปกรณ์ที่คุณใช้งาน
4. eSIM
- ขนาด: เป็นชิปที่ฝังอยู่ในตัวเครื่อง
- eSIM เป็นซิมการ์ดแบบดิจิตอลที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ไม่สามารถถอดออกมาได้ โดยสามารถใช้งานได้เหมือนกับซิมการ์ดทั่วไปแต่ไม่ต้องใส่ซิมการ์ดจริง ๆ ซึ่งมีการใช้งานในอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น สมาร์ทโฟนรุ่น สมาร์ทวอทช์ และอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ
** ทั้งนี้การใช้ซิมการ์ดแต่ละขนาดจะขึ้นอยู่กับรุ่นและอุปกรณ์ที่คุณใช้งาน
วิธีใส่ซิมการ์ด

ขั้นตอนการใส่ซิมการ์ดเป็นขั้นตอนที่ง่ายและสะดวกมากที่สุด และไม่ว่าคุณจะใช้งานโทรศัพท์รุ่นไหน ยี่ห้ออะไร ก็จะมีขั้นตอนที่คล้ายกัน ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อยขึ้นอยู่กับรุ่นของโทรศัพท์ และนี่คือ 5 ขั้นตอนใส่ซิมการ์ดง่าย ๆ
- หาช่องใส่ซิมการ์ด ถ้าหากเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่ช่องใส่ซิมการ์ดจะอยู่บริเวณข้าง ๆ ตรงขอบสมาร์ทโฟน แต่ถ้าเป็นโทรศัพท์รุ่นเก่าช่องใส่ซิมอาจจะอยู่ด้านใต้ฝาหลัง
- ใส่ซิมการเข้าไปในถาดซิมการ์ด ทั้งนี้อย่าลืมตรวจสอบว่าคุณใส่ซิมการ์ดในทิศทางที่ถูกต้องด้วยล่ะ
- ใส่ถาดซิมการ์ดกลับคืนหรือปิดฝาหลัง
- เปิดโทรศัพท์ และรอให้โทรศัพท์เชื่อมต่อกับเครือข่าย
- ตรวจสอบว่าการเชื่อมต่อกับเครือข่ายไม่มีข้อผิดพลาด
การใส่ซิมการ์ดในโทรศัพท์ถือเป็นขั้นตอนง่าย ๆ แต่หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับช่องใส่ซิมหรือประเภทของซิมการ์ดที่รองรับ ควรตรวจสอบคู่มือผู้ใช้ของโทรศัพท์แต่ละรุ่นเพื่อให้แน่ใจว่าใส่ถูกต้อง
โทรศัพท์ไม่อ่านซิมการ์ด แก้ไขอย่างไร
ปัญหาโทรศัพท์ไม่อ่านซิมการ์ดจริง ๆ แล้ว เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบได้มากที่สุดคือการลืม Activate ซิมก่อนใช้งาน ทั้งนี้ถ้าหากคุณทำการ Activate ซิมแล้วแต่ยังใส่งานไม่ได้ให้ลองใช้ผ้าหรือยางลบเช็ดที่บริการแผ่นทองแดงบนซิมการ์ดดู เพราะบางครั้งอาจจะมีฝุ่นมาเกาะจนทำให้แผงวงจรสกปรก สุดท้ายนี้ถ้าหากยังไม่ได้อีก แนะนำให้ลองเปลี่ยนโทรศัพท์เพื่อเช็คว่าที่ไม่สามารถใช้งานได้ปัญหาอยู่ที่ซิมหรือโทรศัพท์ ทั้งนี้ถ้าหากลองเปลี่ยนโทรศัพท์แล้วแต่ซิมการ์ดก็ยังไม่ทำงาน นั้นหมายความว่าซิมการืดมีปัญหา แนะนำให้ไปที่ศูนย์ให้บริการของเครือข่ายเพื่อออกซิมใหม่ครับ
eSim คืออะไร แตกต่างจากซิมการ์ดทั่วไปอย่างไร

eSim คือ ซิมการ์ดที่ถูกฝักอยู่ภายในอุปกรณ์ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต ซึ่งไม่สามารถถอดออกจากตัวอุปกรณ์ได้ โดย eSIM สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนกับซิมการ์ดทั่วไป แล้ว eSIM ดีกว่าซิมการ์ดทั่วไปยังไง ? การใช้ eSIM ทำให้ผู้ใช้งานหมดกังวลปัญหาซิมหาย หรือ เสียหาย นอกจากนี้ eSIM ยังสามารถรองรับได้สูงสุดถึง 6 เลขหมายในโทรศัพท์เครื่องเดียว
คำถามที่พบบ่อย
1. เปลี่ยนซิมการ์ดทั่วไป เป็น eSIM ได้ไหม?
สามารถเปลี่ยนได้ ถ้าหากคุณต้องการเปลี่ยนซิมการ์ดทั่วไปเป็น eSIM ให้ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณ ทั้งนี้อย่าลืมเช็คว่าสมาร์ทโฟนของคุณรองรับ eSIM หรือไม่ด้วย
2. เปลี่ยนซิมจาก 4G เป็น 5G ยังไง?
สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนซิมจาก 4G เป็น 5G จำเป็นต้องเช็คก่อนว่าสมาร์ทโฟนของคุณรองรับสัญญาณอินเทอร์เน็ต 5G หรือไม่ เพราะไม่ใช่โทรศัพท์ทุกรุ่นที่จะสามารถใช้ 5G ได้
3. ซิมการ์ดมีวันหมดอายุไหม? มีวิธีเช็คอย่างไร?
หากคุณใช้ซิมการ์ดที่เป็นซิมเน็ตรายปีซิมเน็ตรายเดือน จะมีวันหมดอายุตามเงื่อนไขที่เครือข่ายกำหนดไว้ ทั้งนี้สามารถเช็ควันหมดอายุซิมแต่ละค่ายได้จากเบอร์
- AIS ระบบเติมเงิน กด *121# โทรออก
- Dtac ระบบเติมเงิน กด *101# โทรออก
- Truemove ระบบเติมเงิน กด *123# โทรออก
ซื้อซิมเน็ตรายปี เล่นเน็ตความเร็วสูง โทรฟรีได้ทุกเครือข่าย
ซื้อซิมเน็ตรายปี เน็ตเร็ว แรง ทะลุจอ พร้อมสมัครโทรฟรีทุกเครือข่าย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ประหยัด และแสนคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและโทรไม่จำกัด สำหรับผู้ที่สนใจ A Lot Tech เรามีทีมงานที่คอยให้คำปรึกษาลูกค้าที่เป็นมิตรและช่วยเหลือในการเลือกแพ็คเกจที่เหมาะสมกับคุณ รวมถึงการติดตามและจัดการข้อมูลการใช้งานได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาซิมเน็ตโปรโมชั่นโทรฟรีทุกเครือข่าย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มผ่านเว็บไซต์ https://www.alottechs.com/ เลย!